Apple Watch
Apple Watch vs Garmin สมาร์ทวอทช์ค่ายไหนเหมาะกับคุณ?
ในขณะที่ตลาดสมาร์ทวอทช์กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆและหลายๆคนที่กำลังมองหาแบรนด์และรุ่นที่เหมาะกับตัวเองอยู่ก็คงหนีไม่พ้นที่จะเคยได้ยิน Apple Watch เจ้าตลาดในขณะนี้และ Garmin ที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กันมาแล้วแน่ๆ
By
ในขณะที่ตลาดสมาร์ทวอทช์กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆและหลายๆคนที่กำลังมองหาแบรนด์และรุ่นที่เหมาะกับตัวเองอยู่ก็คงหนีไม่พ้นที่จะเคยได้ยิน Apple Watch เจ้าตลาดในขณะนี้และ Garmin ที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กันมาแล้วแน่ๆ
โดยทั้งคู่มีจุดแข็งและจุดอ่อนที่ต่างกันไปแม้ว่ามันจะสามารถติดตามข้อมูลการออกกำลังกาย, เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนและมีให้เลือกหลายรุ่นเหมือนกันก็ตาม ในวันนี้เราจึงจะขออาสามาบอกข้อดีข้อเสียของทั้ง 2 เพื่อเป็นข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจกัน
Apple Watch vs Garmin
Apple Watch
- Apple Watch Series 7: Apple Watch Series 7 สมาร์ทวอทช์รุ่นล่าสุดจาก Apple ที่มีหน้าจอที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยมี Apple Watch มา โดยนอกจากหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นแล้วประสิทธิภาพ, แบตเตอรี่และอื่นๆก็แทบไม่ต่างจากรุ่นก่อนๆเลย
- Apple Watch Series 6: Apple เลิกขาย Apple Watch Series 6 อย่างเป็นทางการไปแล้วแต่หากใครยังพอที่จะหาซื้อได้ก็ถือได้ว่าเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งเนื่องจากมันแตกต่างจาก Series 7 เพียงแค่ขนาดหน้าจอเท่านั้นในขณะที่ราคาถูกลง
- Apple Watch SE: Apple Watch SE คือ Apple Watch ที่ Apple สร้างมาเพื่อเป็นตัวเลือกเพิ่มเติมสำหรับคนที่ต้องการ Apple Watch ในราคาที่ถูกลงแต่แรกกับการที่ไม่มีเซ็นเซอร์วัด ECG, ออกซิเจนและไม่มีหน้าจอที่ติดตลอดเวลา
- Apple Watch Series 3: Apple Watch ที่เก่าที่สุดที่ Apple ยังคงวางขายอยู่ในขณะนี้ ซึ่งรุ่นนี้เหมาะกับคนที่อยากลองเข้าสู่ Ecosystem ของ Apple ในราคาที่ไม่สูงมาก แต่อย่างไรก็ตามเรากลับไม่แนะนำให้ซื้อรุ่นนี้แล้วเนื่องจากมันเก่ามากเลยทีเดียว
Garmin
- Garmin fenix 6: สำหรับคนที่กำลังมองหาสมาร์ทวอทช์สำหรับการออกกำลังกายที่อัดแน่นไปด้วยฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องต่างๆมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น Garmin fenix 6 ที่มันเหมาะสำหรับคนที่ออกกำลังกายอย่างจริงจัง
- Garmin Instinct: Garmin Instinct สมาร์ทวอทช์ที่ไม่ได้มีหน้าจอที่ใหญ่และมีการซัพพอร์ตแอปของนักพัฒนาต่างๆมากนักแต่มันมาพร้อมกับ Solar Cell ที่ทำให้สามารถใช้งานได้นานมากขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นอื่นๆ
- Garmin Venu 2: Garmin Venu 2 เป็นสมาร์ทวอทช์ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทั้งหน้าจอ AMOLED, มีให้เลือกหลายสีและขนาด, เก็บเพลงไว้ในเครื่องได้และมีแอปที่รองรับมากขึ้นเรื่อยๆเหมาะสำหรับคนที่ต้องการทั้งสมาร์ทวอทช์และเครื่องตรวจจับข้อมูลการออกกำลังกาย
- Garmin Venu Sq: หากให้อธิบายรุ่นนี้ง่ายๆเลยมันก็คือ Garmin Venu 2 ในราคาที่ถูกลงโดยมันรองรับอะไรหลายๆอย่างเหมือนอย่างรุ่นพี่เพียงแต่มีดีไซน์แบบเหลี่ยมและเปลี่ยนมาใช้จอ LCD เท่านั้น
การติดตามกิจกรรมและสุขภาพ
Apple Watch และ Garmin ต่างสามารถติดตามและเก็บข้อมูลสุขภาพพื้นฐานที่ทุกคนพอจะนึกออกได้ทั้งคู่ รวมถึงมันยังมีชนิดของกีฬาต่างๆให้เราเลือกมากมายเมื่อเราออกกำลังกายนั้นๆอีกด้วย
โดยทั้ง Apple Watch และ Garmin บางรุ่นสามารถติดตามได้ทั้งก้าวเดิน ระยะการเดิน แคลอรีขณะเคลื่อนไหว/พัก อัตราเต้นของหัวใจ วัดออกซิเจนในระดับเลือด การนอนหลับ ความเครียดและอื่นๆอีกมากมาย
แน่นอนแม้ทั้ง 2 จะมีการติดตามข้อมูลของสุขภาพที่คล้ายๆกันแต่ความต่างมันอยู่ที่ Apple Watch Series 4, 5, 6 และ 7 ต่างมาพร้อมกับเซ็นเซอร์ ECG แต่ Garmin กลับยังไม่มีมันในสักรุ่นแต่มันมากับฟีเจอร์ที่ Apple Watch ไม่มีเช่นกันอย่าง Body Battery ที่คอยบอกคุณว่าวันนี้คุณน่าจะมีพลังงานเหลืออีกเท่าไหร่
เมื่อพูดถึงการนอน Apple และ Garmin มีวิธีที่ต่างกันในการติดตามการนอนหลับ โดยบน Apple Watch นั้นการติดตามการนอนหลับยังค่อนข้างที่จะใหม่และมันก็เก็บเพียงแค่ข้อมูลที่พื้นฐานมาก เช่นเวลาทั้งหมดที่คุณหลับ, สิ่งรบกวนขณะหลับ, การเผาผลาญแคลอรีและอัตราการเต้นของหัวใจขณะหลับเท่านั้น
ในขณะที่ Garmin เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการติดตามการนอนหลับที่ดูจะละเอียดกว่าซึ่งมันสามารถบอกระยะเวลาการนอนหลับ, สิ่งรบกวนขณะนอนหลับ, หลับลึกหลับตื้นและเมื่อตื่นแล้วยังมีการบอกคะแนนในการนอนหลับของเราด้วยไม่ว่าเราจะซื้อรุ่นไหนก็ตาม
Garmin และ Apple ต่างวัดอัตราการเต้นของหัวใจเราตลอดเวลาทั้งเวลาที่เราออกกำลังกายหรือนั่งอยู่เฉยๆก็ตามโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลยเพราะมันจะทำงานอยู่เบื้องหลังตลอดเวลาและหากพบการทำงานของหัวใจที่ผิดปกติไม่ว่าจะเร็วหรือช้าเกินไปทั้ง Garmin และ Apple Watch ต่างก็จะแจ้งให้ผู้ใช้งานทราบในทันที
ในระหว่างการออกกำลังกายทั้งคู่ต่างสามารถให้รายละเอียดช่วงการเต้นของหัวใจของเราได้ รวมถึงอัตราการเต้นหัวใจเฉลี่ยและสูงสุดด้วย อย่างไรก็ตามสิ่งที่เหนือกว่าสำหรับ Apple Watch คือมันเก็บอัตราการฟื้นตัวของอัตราการเต้นของหัวใจหลังออกกำลังกายเสร็จในแอป Apple Health ด้วย
เมื่อพูดถึงความแม่นยำแล้ว Apple Watch ดูจะมีความมั่นคงกว่าในเรื่องนี้เพราะไม่ว่าจะใช้ Apple Watch รุ่นไหนค่าอัตราการเต้นของหัวใจก็ค่อนข้างจะเฉลี่ยออกมาเหมือนกันในทุกๆรุ่นต่างจาก Garmin รุ่นที่ราคาถูกลงอาจจะพบปัญหาได้แต่อย่างไรก็ตามมันสามารถแก้ได้ด้วยการอัปเดตซอฟต์แวร์เท่านั้น
นอกจากการติดตามการออกกำลังกายและสุขภาพแล้วทั้งสองยังสามารถติดต่อเบอร์ฉุกเฉินได้ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุด้วยเช่นบน Apple Watch ที่หากเราเกิดล้มขึ้นและไม่ตอบสนองมันก็จะโทรแจ้งเบอร์ฉุกเฉินให้อัตโนมัติแตกต่างจาก Garmin นิดหน่อยที่แม้มันจะมีฟีเจอร์เดียวกันแต่มันจะส่งชื่อและข้อมูลตำแหน่งของเราให้กับรายชื่อเบอร์ที่เราตั้งไว้เท่านั้นไม่ได้โทรหาบริการฉุกเฉิน
สำหรับฟีเจอร์อื่นๆที่ทั้ง 2 มีไม่เหมือนกันนั้นคือตั้งแต่ Apple Watch Series 4 เป็นต้นมามันสามารถตรวจจับความดังของเสียงรอบข้างได้และแจ้งเตือนให้ผู้ใช้งานรู้เมื่ออยู่ในสภาวะที่เสียงดังเกินกำหนดเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับหูเราได้
ในส่วนของ Garmin นั้นจะมีความสามารถในการติดตามการหายในที่สามารถบอกได้ว่าช่วงเวลาไหนเราได้ใจสูงสุดหรือต่ำสุดต่อนาทีรวมถึงมันยังสามารถติดตามการดื่มน้ำของเราได้ด้วยในขณะที่ Apple Watch กลับต้องโหลดแอปมาเพิ่ม
ฟีเจอร์ต่างๆ
Apple Watch เหมือนจะเป็นสมาร์ทวอทช์ที่ออกแบบโดยมีฟีเจอร์อัจฉริยะมาเป็นอันดับหนึ่งและอุปกรณ์ฟิตเนสมาเป็นอันดับ 2 มากกว่า โดยแม้เราจะเทียบกับสมาร์ทวอทช์อื่นๆในตลาดเช่น Garmin หรือ Wear OS แล้ว Apple Watch กลับมอบประสบการณ์การใช้งานทางด้านซอฟแวร์ที่ดีที่สุดอยู่ดี
โดย Apple Watch สามารถใช้งานแอปได้จากทั้งของ Apple เองและจากนักพัฒนาภายนอกซึ่งหลายๆแอปก็เป็นแอปที่เราใช้กับประจำบน iPhone อยู่แล้วเช่น Google Maps, Line, Apple Music หรือ Spotify เป็นต้น รวมถึงยังมาพร้อมกับการสั่งงานด้วยเสียงด้วย Siri ด้วยในขณะที่ Garmin ไม่มีระบบสั่งงานด้วยเสียงเลย
Apple เป็นคนพัฒนาทั้ง iPhone และ Apple Watch ทำให้หากเราเลือกใช้งาน Apple Watch แล้วละก็เราจะได้การเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ที่ไร้รอยต่อรวมถึงการตั้งค่าต่างๆที่เปิด/ปิดให้เองแบบอัตโนมัติด้วยเมื่อสั่งงานจากเครื่องใดเครื่องหนึ่งเช่นเปิดโหมดโฟกัสบน iPhone, Apple Watch ก็จะเปิดให้เองด้วยอัตโนมัติ
อย่างไรก็ตามแม้มันจะเหมือนเป็นข้อดีก็จริงแต่เพราะ Apple เป็นคนพัฒนา Apple Watch นี้แหละทำให้มันใช้ได้กับ iPhone เท่านั้น โดยหากผู้ใช้งานกำลังใช้งาน Android อยู่และไม่ว่ายังไงก็จะไม่เปลี่ยนมาเป็น iOS, Garmin ก็คงเป็นทางเลือกเดียวของคุณ
Garmin มาพร้อมกับซอฟต์แวร์ที่มีพื้นฐานมาจาก RTOS (Real-Time Operating System) ที่ตัวเมนูนั้นมีอนิเมชันการเคลื่อนไหวที่ดูไม่ลื่นไหลเท่า Apple Watch นักแต่มันก็ไม่ใช่ข้อเสียซะทีเดียวสำหรับคนที่ชอบความเรียบง่ายของมัน
Garmin สามารถใช้งานแอปของนักพัฒนาภายนอกได้เช่นกัน โดยสามารถดาวน์โหลดมันได้จากแอป Connect IQ ที่มีให้โหลดทั้งบน iOS และ Android ซึ่งเพราะข้อจำกัดของ RTOS ทำให้แอปของ Garmin ดูจะมีลูกเล่นที่น้อยกว่าของทางฝั่ง Apple Watch พอสมควร
อย่างไรก็ตามหากพูดถึงหน้าปัดนาฬิกาแล้วละก็ดูเหมือนเรื่องนี้ Garmin จะกินขาดในทันทีเพราะเราสามารถดาวน์โหลดหน้าปัดนาฬิกาจากแอป Connect IQ ที่มีให้เลือกมากมายได้เช่นกันในขณะที่ Apple Watch นั้นจะสามารถใช้หนัาปัดได้แค่ที่ Apple มีให้เลือกเท่านั้น
แน่นอนแม้ว่า Apple Watch จะมีอนิเมชันที่สวยงามกว่าและฟีเจอร์การใช้งานที่ไม่ใช่การออกกำลังกายที่ดูจะครบครับกว่าแต่มันก็ต้องแลกมาด้วยระยะเวลาการใช้งานที่การชาร์จหนึ่งครั้งจะใช้ได้เพียงแค่ 1 วันหรือเต็มที่ก็ประมาณ 2 วันเท่านั้นหากไม่ออกกำลังกายเลย ในขณะที่ Garmin นั้นสามาถใช้งานได้ประมาณ 4 ถึง 2 อาทิตย์เลยทีเดียวแล้วแต่รุ่นเพราะการใช้งาน RTOS ที่ประหยัดพลังงานมากกว่า
แอปบนสมาร์ทโฟน
สมาร์ทวอทช์ทั้ง 2 สามารถตรวจจับการออกกำลังกายและการเคลื่อนไหวของคุณได้แต่หากต้องการจะดูรายละเอียดเชิงลึกแล้วละก็ก็คงต้องดูผ่านแอปบนสมาร์ทโฟนที่ทั้ง 2 ทำขึ้นมา
โดย Garmin มาพร้อมกับแอป Garmin Connect ที่มีให้ดาวน์โหลดทั้งบน iOS และ Android ที่เอาไว้ใช้จัดการกับตัวนาฬิกานและสามารถดูข้อมูลทั้งของตัวเองได้ไม่ว่าจะเป็นอัตราการเต้นของหัวใจหรือข้อมูล GPS เป็นต้น
Garmin Connect มีข้อมูลการใช้งานของเราให้ดูมากมายแต่การจัดเรียงของมันดูจะยังไม่ดีนักโดยในช่วงแรกผู้ใช้งานหลายๆคนอาจจะงงกับเมนูและข้อมูลต่างๆที่เยอะแยะไปหมดที่ตัวแอปคอยแสดงอยู่แต่หากใช้งานไปสักพักและเริ่มชินแล้วละก็จะพบว่าข้อมูลเหล่านั้นเป็นประโยชน์อย่างมาก
หากใช้งาน Garmin แล้วนอกจาก Garmin Connect ที่คอยเก็บข้อมูลของตัวเราแล้วก็มีแอป Conncet IQ ที่ไว้ใช้สำหรับดาวน์โหลดหน้าปัดนาฬิกาหรือแอปต่างๆอย่างที่เราบอกไปก่อนหน้านี้ด้วย
ในส่วนของ Apple Watch นั้นจะแตกต่างจาก Garmin สักหน่อยโดยหากใช้งาน Apple Watch แล้วเราจำเป็นจะต้องทำความรู้กันกันถึง 3 แอปเลยทีเดียว
โดยแอปแรกคือแอป Watch ที่ถูกติดตั้งมาให้เองตั้งแต่แรกอยู่แล้วแม้เราจะมีหรือไม่มี Apple Watch ก็ตาม โดยแอปนี้มีหน้าที่ในการจัดการ, อัปเดต, ปรับแต่งหน้าปัด, ปรับแต่งการแจ้งเตือนต่างๆของ Apple Watch เป็นต้น
ส่วนแอปที่ 2 นั้นคือแอป Fitness โดยแอปนี้นั้นค่อนอย่างเรียบง่ายเป็นอย่างมากเนื่องจากมันเอาไว้เก็บและแสดงข้อมูลของวงแหวนการออกกำลังกายของเราเท่านั้นซึ่งมันไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรมากมายเลย รวมถึงยังเป็นการเก็บ Achievements และรางวัลที่เราเคยทำได้ด้วย
ส่วนแอปสุดท้ายนั่นคือ Apple Health โดยแอปนี้คือแอปที่คอยเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและการออกกำลังกายของเราอย่างละเอียด โดยเราสามารถดูได้ทั้งกีฬาที่เราใช้ในการออกกำลังกาย อัตราการเต้นของหัวใจ ข้อมูลการหายใจและอื่นๆ
Apple Watch หรือ Garmin?
เราไม่สามารถตอบได้ว่า Apple Watch หรือ Garmin ดีกว่ากันเนื่องจากทั้งคู่มีข้อดีข้อเสียที่ต่างกันแต่ในส่วนของฟีเจอร์ที่ทั้งคู่มีเหมือนกันนั้นมันกลับทำได้ดีทั้งคู่ โดยหากจะให้สรุปง่ายๆก็ขอสรุปว่าหากเราไม่ได้ออกกำลังกายมากนักแต่ต้องการสมาร์ทวอทช์สักเครื่องหนึ่ง Apple Watch ก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเนื่องจากมันทำงานร่วมกันกับ iOS ได้อย่างไร้รอยต่อรวมถึงมีแอปและการใช้งานๆที่ยืดหยุ่นกว่าด้วย
แต่หากเราเป็นคนที่ชอบออกกำลังกายเป็นประจำแล้วละก็ Garmin น่าจะให้ข้อมูลการออกกำลังกายที่ละเอียดกว่า Apple Watch เนื่องจากมันถูกสร้างขึ้นมาสำหรับคนที่ชอบออกกำลังกายโดยเฉพาะและหากคุณเป็นผู้ใช้งาน Android ด้วยแล้วละก็คงไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องเลือก Apple Watch เพราะมันไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้