iPhone
iPhone 13 มีอะไรใหม่?: สรุปรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดตามข่าวลือที่หลุดออก
ใกล้เข้ามาทุกทีแล้วกับการเปิดตัว iPhone 13 ที่คาดว่าจะเปิดตัวกันในเดือนนี้ ซึ่งในวันนี้เราจะมาเผยถึงฟีเจอร์ ขนาด และการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด
By
ใกล้เข้ามาทุกทีแล้วกับการเปิดตัวของซีรี่ส์ iPhone 13 ที่คาดว่าจะเปิดตัวกันในเดือนนี้ ซึ่งในวันนี้เราจะมาเผยถึงฟีเจอร์ ขนาด และการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่เรารวบรวมมาจากข่าวลือก่อนหน้านี้ว่ามันจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง
ก่อนอื่นเราต้องบอกกันก่อนว่าข้อมูลที่เรานำมารวบรวมนี้เป็นข้อมูลจากข่าวลือหรือข่าวหลุดที่ออกมาก่อนหน้านี้ทั้งสิ้นจึงอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้เมื่อ Apple เปิดตัว iPhone 13 จริงๆออกมา
โดยจะมีอะไรใหม่ๆที่ถูกเพิ่มเข้ามาบ้างติดตามได้เลยดังนี้
ชื่อ
คาดว่า iPhone รุ่นถัดไปของ Apple นั้นจะใช้ชื่อว่า iPhone 13 แทน iPhone 12S ซึ่งเป็นการข้ามรุ่น ‘S’ ไปอีกครั้งหนึ่ง โดยก่อนหน้านี้มีภาพของสติกเกอร์ที่ใช้แปะบนตัวกล่องของ iPhone ที่ระบุชื่อ iPhone 13 อย่างชัดเจน
รวมถึงหลายๆสำนักข่าวเผยว่า Apple ต้องการที่จะเปลี่ยนระบบการเรียกชื่อ iPhone ใหม่ให้เป็นตัวเลขอย่างเดียวเพื่อความเรียบง่ายและสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์อื่นๆมากขึ้น
ดีไซน์
iPhone 13 จะยังคงใช้ดีไซน์แบบ iPhone 12 เหมือนเดิม แต้จะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆดังนี้
- ตัวเครื่องหนาขึ้นจาก 7.4mm. บน iPhone 12 เป็น 7.57mm.
- iPhone 13 และ iPhone 13 mini จะมีการวางตำแหน่งกล้องในแนวทแยง
- iPhone 13 Pro จะมีกล้องหลังที่ใหญ่ขึ้นโดยจะมีขนาดประมาณ iPhone 12 Pro Max ในปัจจุบันที่ 36mm. x 37mm.
- โมดูลกล้องหนาขึ้นใน iPhone 13 และ 13 mini ที่ 2.51mm. และ iPhone 13 Pro ที่ 3.65mm. จากเดิมที่ประมาณ 1.5mm. – 1.7mm.
- ปุ่ม Power, ปิดเสียง, เพิ่ม/ลดเสียงถูกขยับตำแหน่งลงมาเล็กน้อย
- อาจมีสีดำ Graphite ที่เข้มขึ้นและมีสีบรอนซ์เพิ่มเข้ามา
หน้าจอแสดงผล
ในซีรี่ส์ iPhone 13 หน้าจอแสดงผลถือว่าได้รับการอัปเกรดใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมพอสมควร โดยมันมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้
- รอยบากที่เล็กลงจากการย้ายลำโพงสนทนาไปไว้ด้านบนจากใน iPhone 12 ที่อยู่ในแนวเดียวกัน
- iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max จะมีเทคโนโลยี ProMotion อัตรารีเฟรช 120Hz และใช้ชนิด LTPO ที่จะช่วยให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น
- iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max จะมีโหมด Always-on display หน้าจอติดตลอดเวลาคล้ายกับ Apple Watch
ชิปประมวลผลและการเชื่อมต่อ
iPhone รุ่นใหม่ก็ย่อมหมายถึงสเปคภายในใหม่ๆด้วยเช่นกัน โดย iPhone 13 มีการเปลี่ยนแปลงดังนี้
- ชิป A15 Bionic มีประสิทธิภาพมากขึ้นในขณะที่ใช้พลังงานน้อยลง ผลิตด้วยกระบวนการผลิต 5nm. เวอร์ชันปรับปรุง
- 5G ที่เร็วขึ้นจากการเปลี่ยนมาใช้โมเด็ม Snapdragon X60 ที่ทำให้ใช้งาน 5G แบบ sub-6Ghz และ mmWave ได้พร้อมกันและประหยัดพลังงานมากขึ้น
- เชื่อมต่อดาวเทียววงโคจรต่ำเพื่อใช้ในการโทรหรือส่งข้อความฉุกเฉินในกรณีที่ไม่มีสัญญาณ
- Wi-Fi 6E เพิ่มประสิทธิภาพ, ความเร็วในการส่งข้อมูล และความเสถียรเมื่อใช้งาน Wi-Fi
- 5G แบบ mmWave รองรับในหลายประเทศมากขึ้น
แบตเตอรี่และการชาร์จ
ในส่วนของแบตเตอรี่และการชาร์จนั้นก็ได้รับการปรับปรุงบน iPhone 13 เช่นกัน โดยมันมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้
- รองรับ Reverse Wireless Charging จากการเพิ่มขนาดแผ่นคอยล์จึงทำให้ระบายความร้อนได้ดีขึ้น
- iPhone 13 mini มีความจุแบตที่ 2406 mAh เพิ่มจาก 2228 mAh บน iPhone 12 mini
- iPhone 13 และ 13 Pro มีความจุแบตที่ 3095 mAh เพิ่มจาก 2815 mAh บน iPhone 12
- iPhone 13 Pro Max มีความจุแบตที่ 4352 mAh เพิ่มจาก 3687 mAh บน iPhone 12 Pro Max
- รองรับการชาร์จไวที่ 25W เพิ่มขึ้นจาก 20W บน iPhone 12 (ต้องซื้อหัวชาร์จแยกเอง)
- ชิปประมวลผลกินพลังงานน้อยลงกว่าเดิมที่ 15 – 20%
ฮาร์ดแวร์กล้อง
คาดว่าส่วนที่ Apple จะเน้นมากที่สุดบนซีรี่ส์ iPhone 13 ก็คือกล้องถ่ายภาพ โดยมันได้รับการอัปเกรดฮาร์ดแวร์ใหม่ดังนี้
- ระบบกันสั่นที่ตัวเซ็นเซอร์ในเลนส์ไวด์ในทุกรุ่นต่างจากในปัจจุบันที่มีเฉพาะบน iPhone 12 Pro Max
- iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max จะมีเซ็นเซอร์กล้องขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อช่วยให้การรับแสงดีขึ้น
- ปรับปรุงเลนส์อัลตร้าไวด์ใหม่ รูรับแสง ƒ/1.8 และมาพร้อมกับระบบออโต้โฟกัส
- ปรับปรุงเลนส์เทเลบน iPhone 13 Pro ให้มีความสามารถในการซูมที่ 2.5 เท่าเหมือนกับรุ่น iPhone 12 Pro Max
- iPhone 13 Pro Max มีรูรับแสงสำหรับเลนส์ไวด์ที่ ƒ/1.5 จาก ƒ/1.6 บน iPhone 12 Pro Max
ซอฟต์แวร์กล้อง
นอกจากการเปลี่ยนแปลงฮาร์ดแวร์กล้องแล้ว iPhone 13 ก็จะได้รับการปรับปรุงซอฟต์แวร์โดยการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆให้กับกล้องเพิ่มเข้าไปดังนี้
- โหมด Cinematic Video โหมดถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอ
- ProRes ถ่ายวีดีโอแบบไม่สูญเสียความละเอียดเผื่อนำไปใช้ต่อคล้ายกับการถ่ายภาพแบบ ProRaw บน iPhone 12 Pro และ Pro Max
- โหมดถ่ายภาพดาราศาสตร์ (astrophotography) เพื่อถ่ายภาพท้องฟ้าตอนกลางคืน
- ปรับปรุงฟิลเตอร์ใหม่โดยใช้ระบบ AI ใส่ฟิลเตอร์ในแต่ละวัตถุบนภาพแทนที่จะใส่ทีเดียวทั้งหมด
- เลือกติดตามโฟกัสวัตถุต่างๆบนวิดีโอได้
อื่นๆ
- ปรับปรุง Face ID ให้สามารถสแกนหน้าได้แม้ใส่หน้ากากหรือแว่นเป็นฝ้า
- แม่เหล็ก MagSafe แข็งแรงขึ้น
ราคาและความจุ
iPhone 13 mini
- ความจุ 64GB ราคาประมาณ 25,990 บาท
- ความจุ 128GB ราคาประมาณ 27,900 บาท
- ความจุ 256GB ราคาประมาณ 31,900 บาท
iPhone 13 mini
- ความจุ 64GB ราคาประมาณ 25,990 บาท
- ความจุ 128GB ราคาประมาณ 27,900 บาท
- ความจุ 256GB ราคาประมาณ 31,900 บาท
iPhone 13
- ความจุ 64GB ราคาประมาณ 29,000 บาท
- ความจุ 128GB ราคาประมาณ 31,900 บาท
- ความจุ 256GB ราคาประมาณ 35,900 บาท
iPhone 13 Pro
- ความจุ 128GB ราคาประมาณ 36,900 บาท
- ความจุ 512GB ราคาประมาณ 45,900 บาท
- ความจุ 1TB ราคาประมาณ 61,900 บาท
iPhone 13 Pro Max
- ความจุ 128GB ราคาประมาณ 39,900 บาท
- ความจุ 512GB ราคาประมาณ 48,900 บาท
- ความจุ 1TB ราคาประมาณ 65,900 บาท
และนี้ก็คือฟีเจอร์ทั้งหมดที่คาดว่าจะมาในซีรี่ส์ iPhone 13 ที่จะเปิดตัวในเดือนนี้ โดยต้องย้ำกันอีกรอบว่าฟีเจอร์เหล่านี้เป็นเพียงแค่การรวบรวมจากข่าวลือที่หลุดออกมาเท่านั้นของจริงๆอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ก็ได้