iPad
เปรียบเทียบ iPad 9, iPad mini 6, iPad Air 4 และ iPad Pro 2021 ซื้อรุ่นไหนดี?
หลายๆคนสงสัยว่า เอ๊ะ เราควรซื้อ iPad รุ่นไหนดี กลัวซื้อมาแล้วไม่ตอบโจทย์หรือซื้อมาแล้วจะเป็นการสิ้นเปลืองเพราะมันเกินความจำเป็น โดยในบทความนี้เรามีคำตอบมาให้
By
อัปเดตปี 2022 เพิ่มการเปรียบเทียบ iPad Air 5
หลังจากการมาของ iPad mini 6 ที่มีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ใหม่ให้เหมือนกับรุ่นพี่อย่าง iPad Air 4 และ iPad Pro รวมถึงยังมี iPad 9 ที่ได้รับการปรับปรุงสเปคใหม่ในราคาที่ย่อมเยาเหมือนเดิมก็อาจจะทำให้ใครหลายๆคนสงสัยว่า เอ๊ะ เราควรซื้อ iPad รุ่นไหนดี กลัวซื้อมาแล้วไม่ตอบโจทย์หรือซื้อมาแล้วจะเป็นการสิ้นเปลืองเพราะมันเกินความจำเป็น
ในบทความนี้เราได้ทำการรวบรวมข้อมูลของไลน์อัป iPad ทั้งหมดเพื่อให้ทุกคนได้ใช้เป็นข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจแล้ว
เปรียบเทียบ iPad 9, iPad mini 6, iPad Air 4 และ iPad Pro 2021
iPad 9 | iPad mini 6 | iPad Air 4 | iPad Pro 2021 | |
จอแสดงผล | Retina Display | Liquid Retina Display | Liquid Retina Display | Liquid Retina XDR (เฉพาะขนาด 12.9 นิ้ว) |
ขนาดหน้าจอ | 10.2 นิ้ว | 8.3 นิ้ว | 10.9 นิ้ว | 11 และ 12.9 นิ้ว |
ความละเอียด | 2160 x 1620 (264 pi) | 2266 x 1488 (326 pi) | 2360 x 1640 (264 ppi) | 2388 x 1668 และ 2732 x 2048 (264 ppi) |
ชิป | A13 Bionic | A15 Bionic | A14 Bionic | M1 |
กล้องหลัง | Wide: 8MP, f/2.4 | Wide: 12MP, f/1.8 แฟลช True tone | Wide: 12MP, f/1.8 | 2 ตัว พร้อมแฟลช True tone • Wide: 12MP, f/1.8 • Ultra-Wide: 10MP, f/2.4 มุมกว้าง 125 องศา |
กล้องหน้า | Ultra-Wide: 12MP, f/2.4 มุมกว้าง 122 องศา | Wide: 7MP, f/2.2 | Ultra-Wide: 12MP, f/2.2 มุมกว้าง 122 องศา | |
ถ่ายวีดีโอ | สูงสุดที่ 1080P @30fps | สูงสุด 4K @60fps | ||
ลำโพง | เดี่ยว | สเตอรีโอ | ||
5G | ไม่รองรับ | รองรับแบบ Sub-6 | ไม่รองรับ | รองรับแบบ Sub-6 |
พอร์ตชาร์จ | Lightning | USB-C | ||
Apple Pencil | รุ่นที่ 1 | รุ่นที่ 2 | ||
ช่องเสียบหูฟัง | มี | ไม่มี | ||
ปลดล็อคแบบไบโอเมตริกซ์ | Touch ID ที่ปุ่มโฮม | Touch ID ที่ปุ่มเพาเวอร์ | Face ID | |
แบตเตอรี่ | 32.4 Wh ใช้ได้สูงสุด 10 ชั่วโมง | 19.3 Wh ใช้ได้สูงสุด 10 ชั่วโมง | 28.6 Wh ใช้ได้สูงสุด 10 ชั่วโมง | 28.65 Wh และ 40.88 Wh ใช้ได้สูงสุด 10 ชั่วโมง |
น้ำหนัก | Wi-Fi: 487 กรัม Wi‑Fi + Cellular: 498 กรัม | Wi-Fi: 293 กรัม Wi‑Fi + Cellular: 297 กรัม | Wi-Fi: 458 กรัม Wi‑Fi + Cellular: 460 กรัม | 466 - 684 กรัม |
ขนาดตัวเครื่อง (มม.) | 250.6 x 174.1 x 7.5 | 195.4 x 138.4 x 6.3 | 246.7 x 178.5 x 6.1 | 247.2 x 178.5 x 5.9 และ 280.6 x 214.9 x 6.4 |
ความจุ | 64GB / 256GB | 128GB 256GB 512GB 1TB 2TB | ||
สี | เทา, เงิน | เทา, ชมพู, ม่วง, ทอง | เทา, เงิน, โรสโกล, เขียว, ฟ้า | เทา, เงิน |
ราคาเริ่มต้น | 11,400 บาท | 17,900 บาท | 19,900 บาท | 27,900 บาท |
iPad 9 – ประชุม, ทำงาน, เรียนออนไลน์
เริ่มต้นกันด้วยน้องเล็กสุดในซีรี่ส์อย่าง iPad 9 ที่ในรอบนี้มาพร้อมกับชิป A13 Bionic ที่ประสิทธิภาพไม่เป็นสองลองใครเมื่อเทียบกับแท็บเล็ตแบรนด์อื่นๆในตลาด ซึ่งด้วยสเปคแบบนี้ถ้าหากนำมาใช้งานทั่วไปเช่น เล่นเกมเบา ดูวีดีโอ แต่งรูปนิดๆหน่อยๆก็ไม่มีปัญหาแน่นอน
นอกจากนี้ iPad 9 ยังมาพร้อมกับกล้องหน้าที่ความละเอียด 12MP เลนส์อัลร้าไวด์พร้อมฟีเจอร์ Center Stage ที่จะจัดให้เราอยู่ตรงกลางเสมอในระหว่างการวีดีโอคอลในแอปที่รองรับบน iPadOS 15 จึงทำให้การนำ iPad 9 มาเรียนออนไลน์ ประชุมงานหรือวีดีโอคอลดูมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้นแม้ตัวเครื่องจะมีราคาเริ่มต้นเพียงแค่ 11,400 บาทเท่านั้น
อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีข้อเสียเลยโดย iPad 9 ยังคงเป็นลำโพงแบบเดี่ยวเท่านั้นซึ่งหากใครที่ชอบดูหนังหรือซีรี่ส์บนสตรีมมิ่งต่างๆแล้วละก็อาจจะขัดใจกับตรงนี้ได้เนื่องจากไม่สามารถแยกเสียงซ้ายขวาได้นั่นเอง
iPad mini 6 – สเปคจัดเต็มสำหรับคนที่ชอบพกพา
มาต่อกันที่ iPad mini 6 กันบ้างโดยครั้งนี้ถือว่าเป็นการอัปเกรดครั้งใหญ่เลยทีเดียว ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัดเลยก็คือในเรื่องของดีไซน์ที่ได้รับการขยายหน้าจอให้เป็น 8.3 นิ้วจากการใช้ดีไซน์โดยรวมแบบ iPad Air 4 และ iPad Pro และแน่นอนมันยังคงมาพร้อมกับขนาดกระทัดรัดทำให้สามารถพกพาได้สะดวกเหมือนเดิมอีกด้วย
iPad mini 6 มาพร้อมกับชิป A15 Bionic ที่ใช้บนซีรี่ส์ iPhone 13 จึงทำให้มั่นใจได้ว่ามันจะสามารถเล่นเกม ทำงานหนักๆ ได้อย่างไม่มีปัญหาแน่นอน
อย่างไรก็ตามข้อเสียของมันก็คือเรื่องของขนาดด้วยเหมือนกันซึ่งแม้มันจะพกพาได้สะดวกก็จริงแต่หากใครที่จะซื้อมาใช้งานด้าน Entertainment เช่นเล่นเกมหรือดูซีรี่ส์เป็นหลักก็อาจจะขัดใจนิดๆกับขนาดหน้าจอที่เล็กของมัน
รวมถึงหากใครคิดจะซื้อมาประชุมหรือเรียนออนไลน์ก็อาจจะต้องชั่งใจกันสักหน่อยเพราะด้วยขนาดของมันอาจจะทำให้การเรียนหรือประชุมของเราทำได้อย่างไม่เต็มที่นัก
iPad Air 4 – เรียน, ทำงาน, เล่นเกม, ดูซีรี่ส์ครบจบในเครื่องเดียว
สำหรับ iPad Air 4 ที่เปิดตัวมาปีกว่าๆแล้วแต่ก็เรียกได้ว่ายังเป็นแท็บเล็ตที่มีประสิทธิที่ภาพและการใช้งานที่ดีอยู่ โดยมันมาพร้อมกับชิป A14 Bionic ที่เป็นตัวเดียวกับซีรี่ส์ iPhone 12 จึงมั่นใจได้ว่ามันจะใช้งานได้อีกหลายปีโดยที่เครื่องไม่อืดลง
iPad Air 4 เรียกได้ว่าเป็น iPad ที่ครบจบในเครื่องเดียวเลยก็ว่าได้ไม่ว่าจะเป็นการเรียนออนไลน์ เล่นเกม ดูซีรี่ส์ ประชุมงาน ตัดต่อวีดีโอหรือแต่งรูป เพราะนอกจากประสิทธิภาพของมันแล้วมันยังมาพร้อมกับขนาดหน้าจอกำลังพอดีที่ 10.9 นิ้วทำให้มันบาลานซ์ระหว่างการใช้งานกับการพกพาได้พอดี
นอกจากนี้ iPad Air 4 ยังสามารถใช้งาน Magic Keyboard (ต้องซื้อแยก) ที่มาพร้อมกับ Track Pad ได้อีกด้วย ทำให้สามารถใช้งานเป็นโน๊คบุ๊คขนาดย่อมๆได้โดยไม่ต้องเปิดโน๊ตบุ๊คให้เสียเวลาเลย
iPad Pro 2021 – สำหรับคนที่ต้องการความสุดในทุกทาง
iPad Pro 2021 มาด้วยกันทั้งหมด 2 ขนาดที่ 11 และ 12.9 นิ้ว ทั้งคู่มาพร้อมกับชิป M1 ที่ถูกเป็นตัวเดียวกับบน Mac จึงทำให้แน่ใจได้เลยว่าประสิทธิภาพของมันจะแรงแบบสุดๆแบบที่ว่าโน๊ตบุ๊คบางแบรนด์ก็ยังสู้ไม่ได้ ทำให้มันเหมาะกับคนที่ต้องการซื้อมันมาวาดรูปหรือตัดต่อวีดีโอแบบจริงจัง
มาพร้อมกับจอ ProMotion 120Hz ที่ทำให้การสัมผัสจอแต่ละครั้งให้ความรู้สึกลื่นไหลติดนิ้วมากขึ้นและยังทำให้ประสบการณ์การใช้งาน Apple Pencil ดีขึ้นกว่า iPad รุ่นอื่นๆอีกด้วย
และสำหรับขนาด 12.9 นิ้วมันยังได้รับการตีบวกเรื่องหน้าจอไปอีกขั้นเพราะมันเปลี่ยนมาใช้จอชนิด mini-LED ซึ่งมันมีคุณสมบัติคล้ายกับจอ OLED ทำให้การรับชมคอนเทต์ต่างๆบนรุ่นนี้เรียกได้ว่าสุดจริงๆ
สรุปเลือกรุ่นไหนดี?
- iPad 9: เหมาะกับคนงบไม่สูงมากนำมาประชุมงาน เรียนออนไลน์ในขณะที่จอไม่เล็กจนเกินไป
- iPad mini 6: เหมาะกับคนที่ชอบพกพาไปไหนมาไหนในขณะที่ยังคงมีเสปคที่จัดเต็มอยู่
- iPad Air 4: เหมาะกับคนที่อยากได้เครื่องที่ครบจบในเครื่องเดียวไม่ว่าจะเรียน ทำงาน เล่นเกมในราคาที่ไม่สูงจนเกินไป
- iPad Pro 2021: เหมาะกับคนที่อยากได้เครื่องที่สุดในตลาดแท็บเล็ต ทำได้ทุกอย่างที่แท็บแล็ตเครื่องนึงจะสามารทำได้ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน